วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เว็บไซต์ที่ให้บริการเว็บบล็อก

เว็บไซต์ที่ให้บริการเว็บบล็อก

ประเภทของเว็บบล็อก

ประเภทของเว็บบล็อก
1.แบ่งตามลักษณะของมีเดียที่มีในบล็อกได้แก่
1.1 Linklog บล็อกแบบนี้น่าจะเป็นบล็อกรุ่นแรก ๆ เป็นบล็อกที่รวมลิ๊งก์ที่เจ้าของบล็อกสนใจ เอาไว้ ถ้าคณยังจําผู้ให้กําเนิดคําว่า “บล็อก” ที่ชื่อ จอห์น บาจเจอร์ได้ นั่นแหล่ะครับ robotwisdom.com ของเขาตัวอย่างของ linklog นั่นเอง แม้ว่าจะบล็อกแบบนี้จะเป็นการ รวมลิ๊งก์เท่านั้น แต่ก็ไม่เรียงเหมือนว็บไดเร็กทอรี่ เพราะเจ้าของบล็อกจะโพสต์ลิ๊งก์ของเขา 1-2ลิ๊งก์ต่อโพสต์เท่านั้นครับ ใครที่อยากมีบล็อกเป็นของตนเองแต่ยังนึกไม่ออกว่าจะทําบล็อก แบบไหน linklog น่าจะเป็นการเริ่มต้นการทําบล็อกได้เป็นอย่างดี
1.2 Photoblog ชื่อก็บอกอยู่แล้วครับว่า Photo บล็อกประเภทนี้เน้นในโพสต์ภาพถ่ายที่เจ้าของ บล็อกอยากนําเสนอ และมักจะไม่เน้นที่จะเขียนข้อความมากนัก บางบล็อกเรียกได้ว่าภาพโดย เจ้าของบล็อกล้วน ๆ เลยครับ
1.3Vlog ย่อมาจาก Videoblog เป็นบล็อกที่รวมวิดีโอคลิปไว้ในบล็อก Vlog เป็นบล็อกที่เรียก ได้ว่าเป็นบล็อกที่นิยมทํากันมากในอนาคต เพราะการเจริญเติบโตของไฮสปีด อินเตอร์เน็ต หรือ อินเตอร์เน็ตบอร์ดแบนด์ ที่ทําให้การถ่ายทอดเสียง ภาพเคลื่อนไหว movie
2.แบ่งตามประเภทเนื้อหา ได้แก่
2.1บล็อกส่วนตัว(Personal Blog) นําแสนอความคิดเห็น กิจวัตรประจําวันของเจ้าของบล็อก เป็นหลัก
2.2 บล็อกข่าว(News Blog) บล็อกที่นําเสนอข่าวเป็นหลัก
2.3บล็อกกลุ่ม(Collaborative Blog) เป็นบล็อกที่เขียนกันเป็นกลุ่ม เช่น blognone.com
2.4บล็อกการเมือง(Politic Blog) ว่าด้วยเรื่องการเมืองล้วน ๆ
2.5บล็อกเพื่อสิ่งแวดล้อม(Environment Blog) พูดถึงเรื่องราวของธรรมชาติและการรักษา สิ่งแวดล้อม 2.6มีเดียบล็อก(Media Blog) เป็นบล็อกที่วิเคราะห์สื่อต่างๆ สารคดีและสิ่งที่เกี่ยวกับสื่อ เช่น oknation.net/blog/black ของสุทธิชัย หยุ่น
2.7บล็อกบันเทิง(Entertainment Blog) บล็อกที่นําเสนอเรื่องราวบันเทิงทั้งทางจอแก้ว และจอ เงิน เรื่องซุบซุดารา กองถ่าย ฯลฯ
2.8บล็อกเพื่อการศึกษา(Educational Blog) ในโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ มักจะใช้บล็อกเป็นสื่อในการสอนหรือ แลกเปลี่ยนความคิดกัน 2.9ติวเตอร์บล็อก(Tutorial Blog) เป็นบล็อกที่นําเสนอวิธีการต่าง

ความหมายของเว็บบล็อก (WebBlog)

เว็บล็อก (อังกฤษ: weblog) เป็นรูปแบบเว็บไซต์ประเภทหนึ่ง ซึ่งถูกเขียนขึ้นใน ลําดับที่เรียงตามเวลาในการเขียน ซึ่งจะแสดงข้อมูลที่เขียนล่าสุดไว้แรกสุด บล็อกโดยปกติจะ ประกอบด้วย ข้อความ ภาพ ลิงก์ ซึ่งบางครั้งจะรวมสื่อต่างๆ ไม่ว่า เพลง หรือวิดีโอในหลาย รูปแบบได้ จุดที่แตกต่างของบล็อกกับเว็บไซต์โดยปกติคือ บล็อกจะเปิดให้ผู้เข้ามาอ่านข้อมูล สามารถแสดงความคิดเห็นต่อท้ายข้อความที่เจ้าของบล็อกเป็นคนเขียน ซึ่งทําให้ผู้เขียนสามารถ ได้ผลตอบกลับโดยทันที คําว่า "บล็อก" ยังใช้เป็นคํากริยาได้ซึ่งหมายถึง การเขียนบล็อก และ นอกจากนี้ผู้ที่เขียนบล็อกเป็นอาชีพก็จะถูกเรียกว่า "บล็อกเกอร์" บล็อกเป็นเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหลากหลายขึ้นอยู่กับเจ้าของบล็อก โดยสามารถใช้เป็นเครื่องมือ สื่อสาร การประกาศข่าวสาร การแสดงความคิดเห็น การเผยแพร่ผลงาน ในหลายด้านไม่ว่า อาหาร การเมือง เทคโนโลยี หรือข่าวปัจจุบัน นอกจากนี้บล็อกที่ถูกเขียนเฉพาะเรื่องส่วนตัว หรือจะเรียกว่าไดอารีออนไลน์ ซึ่งไดอารีออนไลน์นี่เองเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้บล็อกใน ปัจจุบัน นอกจากนี้ตามบริษัทเอกชนหลายแห่งได้มีการจัดทําบล็อกของทางบริษัทขึ้น เพื่อเสนอ แนวความเห็นใหม่ใหักับลูกค้า โดยมีการเขียนบล็อกออกมาในลักษณะเดียวกับข่าวสั้น และ ได้รับการตอบรับจากทางลูกค้าที่แสดงความเห็นตอบกลับเข้าไป เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์

ประเภทของคอมพิวเตอร์

ประเภทของคอมพิวเตอร์ ในปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ได้ใช้วงจรเบ็ดเสร็จขนาดใหญ่มาก (very large scaleintegrated circuit) ซึ่งสามารถบรรจุทรานซิสเตอร์ได้มากกว่าสิบล้านตัว เราสามารถแบ่ง คอมพิวเตอร์ในรุ่นปัจจุบันออกเป็น 4 ประเภทดังต่อไปนี้

ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (supercomputer)
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ถือได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วมาก และมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อ เปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์ชนิดอื่น ๆ เครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีราคาแพงมาก มีขนาดใหญ่ สามารถคํานวณทางคณิตศาสตร์ได้หลายแสนล้านครั้งต่อวินาที และได้รับการออกแบบ เพื่อให้ ใช้แก้ปัญหาขนาดใหญ่มากทางวิทยาศาสตร์และทางวิศวกรรมศาสตร์ได้อย่างรวดเร็ว เช่น การ พยากรณ์อากาศล่วงหน้าเป็นเวลาหลายวัน การศึกษาผลกระทบของมลพิษกับสภาวะแวดล้อม ซึ่งหากใช้คอมพิวเตอร์ชนิดอื่นๆ แก้ไขปัญหาประเภทนี้ อาจจะต้องใช้เวลาในการคํานวณหลาย ปีกว่าจะเสร็จสิ้น ในขณะที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์สามารถแก้ไขปัญหาได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เท่านั้น เนื่องจากการแก้ปัญหาใหญ่ ๆ จะต้องใช้หน่วยความจําสูง ดังนั้น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์จึง มีหน่วยความจําที่ใหญ่มาก ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีหลายประเภท ตั้งแต่รุ่นที่มีหน่วยประมวลผล (processing unit) 1 หน่วย จนถึงรุ่นที่มีหน่วยประมวลผลหลายหมื่นหน่วยซึ่งสามารถทํางาน หลายอย่างได้พร้อม ๆ กัน
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer)
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ มีสมรรถภาพที่ต่ํากว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์มาก แต่ยังมีความเร็วสูง และมี ประสิทธิภาพสูงกว่ามินิคอมพิวเตอร์หรือไมโครคอมพิวเตอร์ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์สามารถ ให้บริการผู้ใช้จํานวนหลายร้อยคนพร้อม ๆ กัน ฉะนั้น จึงสามารถใช้โปรแกรมจํานวนนับร้อย แบบในเวลาเดียวกันได้ โดยเฉพาะถ้าต่อเครื่องเข้าเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้สามารถใช้ได้จาก ทั่วโลก ปัจจุบัน องค์กรใหญ่ๆ เช่น ธนาคาร จะใช้คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ในการทําบัญชีลูกค้า หรือการให้บริการจากเครื่องฝากและถอนเงินแบบอัตโนมัติ (automatic teller machine) เนื่องจากเครื่องเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้ถูกใช้งานมากในการบริการผู้ใช้พร้อม ๆ กัน เมนเฟรมคอมพิวเตอร์จึงต้องมีหน่วยความจําที่ใหญ่มาก
มินิคอมพิวเตอร์ (minicomputer)
มินิคอมพิวเตอร์ คือ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ๆ ซึ่งสามารถบริการผู้ใช้งานได้หลายคน พร้อม ๆ กัน แต่จะไม่มีสมรรถภาพเพียงพอที่จะบริการผู้ใช้ในจํานวนที่เทียบเท่า เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้ จึงทําให้มินิคอมพิวเตอร์เหมาะสําหรับองค์กรขนาดกลาง หรือสําหรับ แผนกหนึ่งหรือสาขาหนึ่งขององค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น
ไมโครคอมพิวเตอร์ (microcomputer) หรือ พีซี (personalcomputer หรือ PC)
ไมโครคอมพิวเตอร์ คือ คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กแบบขนาดตั้งโต๊ะ (desktop computer) หรือขนาด เล็กกว่านั้น เช่น ขนาดสมุดบันทึก (notebook computer) และขนาดฝ่ามือ (palmtop computer) ไมโครคอมพิวเตอร์ได้เริ่มมีขึ้นในปีพ.ศ. 2518 ถึงแม้ว่าในระยะหลัง เครื่องชนิดนี้จะมี ประสิทธิภาพที่สูง แต่เนื่องจากมีราคาไม่แพงและมีขนาดกระทัดรัด ไมโครคอมพิวเตอร์จึงยัง เหมาะสําหรับใช้ส่วนตัว ไมโครคอมพิวเตอร์ได้ถูกออกแบบสําหรับใช้ที่บ้าน โรงเรียน และ สํานักงานสําหรับที่บ้าน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการทํางบประมาณรายรับรายจ่าย ของครอบครัวช่วยทําการบ้านของลูกๆ การค้นคว้าข้อมูลและข่าวสาร การสือสารแบบ่ อิเล็กทรอนิกส์ (electronic mail หรือ E -mail) หรือโทรศัพท์ทางอินเทอร์เน็ต (internet phone) ในการติดต่อทั้งในและนอกประเทศ หรือแม้กระทั่งทางบันเทิง เช่น การเล่นเกมบนเครื่อง ไมโครคอมพิวเตอร์ สําหรับที่โรงเรียน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยสอน นักเรียนในการค้นคว้าข้อมูลจากทั่วโลกสําหรับที่สํานักงาน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ ในการช่วยพิมพ์จดหมายและข้อมูลอื่นๆ เก็บและค้นข้อมูล วิเคราะห์และทํานายยอดซื้อขาย ล่วงหน้า
โน้ตบุ๊ค (notebook or laptop) ]
โน้ตบุ๊ค คือ คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไมโครคอมพิวเตอร์ ถูกออกแบบไว้เพื่อนําติดตัวไปใช้ ตามที่ต่างๆ มีขนาดเล็ก และน้ําหนักเบา ในปัจจุบันมีขนาดพอๆกับสมุดที่ทําด้วยกระดาษ
เน็ตบุ๊ค (netbook or laptop)
เน็ตบุ๊ค คือ คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไมโครคอมพิวเตอร์และเล็กกว่าโน้ตบุ๊ค ถูกออกแบบ ไว้เพื่อนําติดตัวไปใช้ตามที่ต่างๆ มีขนาดเล็ก และน้ําหนักเบา
แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ (tablet computer)
แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า แท็บเล็ต คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้ในขณะ เคลื่อนที่ได้ ขนาดกลางและใช้หน้าจอสัมผัสในการทํางานเป็นอันดับแรก มีคีย์บอร์ดเสมือนจริง หรือปากกาดิจิตอลในการใช้งานแทนที่แป้นพิมพ์คย์บอร์ด และมีความหมายครอบคลุมถึงโน๊คบุ๊ คแบบconvertible ที่มีหน้าจอแบบสัมผัสและมีแป้นพิมพ์คีย์บอร์ดติดมาด้วยไม่ว่าจะเป็นแบบ หมุนหรือแบบสไลด์ก็ตาม

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ประวัตความเป็นมาและพัฒนาการของคอมพิวเตอร์ิ

[ ประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล ]ชาวจีนได้ประดิษฐ์เครื่องมือเพื่อใช้ในการคํานวณ ขึ้นมาชนิดหนึ่ง เรียกว่า ลูกคิด ( Abacus)
[ พ.ศ. 2158 ] นักคณิตศาสตร์ชาวสก็อตแลนด์ชื่อ John Napier ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ที่ใช้ ช่วยในการคํานวณขึ้นมาเรียกว่า Napier’s Bones เป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายกับตาราง สูตรคูณในปัจจุบัน [ พ.ศ.2173 ] วิลเลียมออตเทรต( William Oughtred) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษได้ ประดิษฐ์ไม้บรรทัดคํานวณ ( Slide Rule) ซึ่งต่อมากลายเป็นพื้นฐานของการสร้าง คอมพิวเตอร์แบบอนาลอก [ พ.ศ.2185 ] เบลส์ ปาสคาล ( Blaise Pascal) นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้ประดิษฐ์ เครื่องบวกลบขึ้น โดยใช้หลัการหมุนของฟันเฟืองและการทดเลขเมื่อฟันเฟืองหมุน ไป ครบรอบ โดยแสดงตัวเลขจาก 0-9 ออกที่หน้าปัด
Pascal’s Calculato
[ พ.ศ.2214 ] กอตฟริต วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ ( Gottfried Wilhelm Leibniz ) นักคณิตศาสตร์ ชาวเยอรมัน ได้ปรับปรุงเครื่องคิดเลขปาสคาล ให้ทํางานได้ดีกว่าเดิมและเขายังค้นพบ เลขฐานสอง (Binary number)
กอตฟริต วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ ( Gottfried Wilhelm Leibniz )
[ พ.ศ.2288 ] โจเซฟแมรี่ แจคคาร์ด ( Joseph Marie Jacquard) เป็นชาวฝรั่งเศสได้คิด เครื่องทอผ้าโดยใช้คําสั่งจากบัตรเจาะรูควบคุมการทดผ้าให้มีสีและลวดลายต่าง ๆ
บัตรเจาะรู
[ พ.ศ.2365 ] ชาร์ล แบบเบจ ( Charles Babbage) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษได้ประดิษฐ์ เครื่องมือที่เรียกว่าเครื่องหาผลต่าง ( Difference Engine) เพื่อใช้คํานวณและพิมพ์ค่าทาง ตรีโกณมิติและฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ แบบเบจได้พยายามสร้างเครื่องคํานวณอีกชนิด หนึ่งเรียกว่า Analytical Engine โดยมีแนวคิดให้แบ่งการทํางานของเครื่องออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนเก็บข้อมูล (Store unit), ส่วนควบคุม (Control unit) และส่วนคํานวณ (Arithmetic unit) ซึ่งแนวคิดนี้ได้รับการนํามาใช้เป็นต้นแบบของเครื่องคอมพิวเตอร์ใน ปัจจุบันจึงยกย่องแบบเบจ ว่าเป็นบิดาแห่งเครื่องคอมพิวเตอร์ เลดี้ เอดา ออคุสตาเลฟเลค ( Lady Ada Augusta Lovelace ) เป็นนักคณิตศาสตร์ที่เข้าใจผลงานของแบบเบจได้เขียน วิธีการใช้เครื่องคํานวณของแบบเบจเพื่อแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เล่มหนึ่ง ต่อมาเลดี้ เอ ดา ออคุสตาเลฟเลค จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก
Differnce Engine
[ พ.ศ.2393 ] ยอร์จบูล ( George Boole) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้คิดระบบพีชคณิต ระบบใหม่เรียกว่า Boolean Algebra โดยใช้อธิบายหลักเหตุผลทางตรรกวิทยาโดยใช้ สภาวะเพียงสองอย่างคือ True (On) และ False (Off) ร่วมกับเครื่องหมายในทางตรรกะ พื้นฐาน ได้แก่ NOT AND และ OR ต่อมาระบบเลขฐานสอง และ Boolean Algebra ก็ ได้ถูกนํามาดัดแปลงให้เข้ากับวงจรไฟฟ้าซึ่งมีสภาวะ 2 แบบ คือ เปิด , ปิดจึงนับเป็น รากฐานของการออกแบบวงจรในระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน (Digital Computer) [ พ.ศ.2480-2481 ] ดร.จอห์น วินเซนต์อตานาซอฟ ( Dr.Jobn Vincent Atansoff) และค ลิฟฟอร์ด แบรี่ ( Clifford Berry) ได้ประดิษฐ์เครื่อง ABC ( Atanasoff-Berry) ขึ้นโดยได้ นําหลอดสุญญากาศมาใช้งาน ABC ถือเป็นเครื่องคํานวณเครื่องแรกที่เป็นเครื่อง อิเล็กทรอนิกส์
Berry
[ พ.ศ.2487 ] ศาสตราจารย์โอเวิร์ด ไอด์เคน (Howard Aiken) แห่งมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ร่วมกับวิศวกรของบริษัทไอบีเอ็มได้สร้างเครื่อง MARK I เป็นผลสําเร็จ แ ต่อย่างไร ตามเครื่อง MARK I นี้ยังไม่ใช่คอมพิวเตอร์ที่แท้จริงแต่เป็นเครื่องคิดเลขไฟฟ้าขนาด ใหญ่เท่านั้น [ พ.ศ.2485-2495 ] มหาวิทยาลัยเพนซิลเลเนียได้สร้างเครื่อง ENIAC (Electronic Numerical Integrator And Calculator) นับได้ว่าเป็นเครื่องคํานวณอิเล็กทรอนิกส์เครื่อง แรกของโลกที่ใช้หลอดสูญญากาศและควบคุมการทํางานโดยวิธีเจาะชุดคําสังลงใน่ บัตรเจาะรู

ENIAC
[ พ.ศ.2492 ] ดร.จอห์น ฟอน นิวแมนน์ ( Dr.John Von Neumann ) ได้สร้างเครื่อง คอมพิวเตอร์ที่สามารถเก็บคําสั่งการปฏิบัติงานทั้งหมดไว้ภายในเครื่องชื่อว่า EDVAC นับเป็นคอมพิวเตอร์เครี่องแรกที่สามารถเก็บโปรแกรม ไว้ในเครื่องได้
                                                EDVAC (first stored program computer)
[ พ.ศ.2496-2497 ] บริษัทไอบีเอ็มได้สร้างคอมพิวเตอร์ชื่อ IBM 701 และ IBM 650 โดย ใช้หลอดสุญญากาศเป็นวัสดุสร้างต่อมาเกิดมีการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นสารกึ่งตัวนํา ขึ้นที่ห้องปฏิบัติการของบริษัท Bell Telephone ได้เกิดทรานซิสเตอร์ตัวแรกขึ้นต่อมา ทรานซิสเตอร์ได้ถูกนําไปแทนหลอดสูญญากาศจึงทําให้ขนาดของคอมพิวเตอร์เล็กลง และเกิดความร้อนน้อยลง (เครื่องที่ใช้ทรานซิสเตอร์ได้แก่ IBM 1401และ IBM 1620 )
[ พ.ศ.2508 ] วงจรคอมพิวเตอร์มีการเปลี่ยนแปลงอีกมากเมื่อมีวงจรรวม ( Integrated Circuit: IC) เกิดขึ้น ซึ่งไอบีเอ็มนี้ได้ถูกนําไปแทนที่ทรานซิสเตอร์ในวงจร อิเล็กทรอนิกส์ของระบบคอมพิวเตอร์อีกครั้งซึ่งผลก็คือทําให้คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลง
[ พ.ศ.2514 ] บริษัท Intel ได้ใช้เทคโนโลยีของการผลิตวงจรรวมแบบ ( Large Scale Integrated Circuit :LSI ) ทําการรวมเอาวงจรที่ใช้เป็นหน่วยประมวลผลกลาง ( CPU) ของคอมพิวเตอร์มาบรรจุอยู่ในแผ่นไอซีเพียงตัวเดียวซึ่งไอซีนี้เรียกว่า ไมโครโปรเซสเซอร์ ( Microprocessor)
Microprocessor
[ พ.ศ.2506] ประเทศไทยเริ่มมีคอมพิวเตอร์ใช้เป็นครั้งแรกโดยที่คอมพิวเตอร์เครื่องแรก ในประเทศไทยได้ติดตั้งที่ ภาควิชาสถิติคณะพานิชยศาสตร์และการบัญชีจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนี้คือ IBM 1620 ซึ่งได้รับมอบจากมูลนิธิเอไอดี และบริษัทไอบีเอ็ม แห่ง ประเทศไทยจํากัดปัจจุบันหมดอายุการใช้งานไปแล้วจึงได้มอบ ให้แก่ศูนย์บริภัณฑ์การศึกษาท้องฟ้าจําลองกรุงเทพฯ
[ พ.ศ.2507] เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องที่สองของประเทศไทยติดตั้งที่สํานักงานสถิติ แห่งชาติในเดือนมีนาคม 2507
ก่อกาเนิด ไมโครโปรเซสเซอร์
เมื่อก่อนนั้น Intel เป็นบริษัทผลิตชิปไอซีแห่งหนึ่งที่ไม่ใหญ่โตมากนักเท่าในปัจจุบันนี้ เมื่อปี ค.ศ.1969 ได้สร้างความสะเทือน ให้กับวงการอิเล็คทรอนิคส์โดยการออกชิปหน่วยความจํา (Memory)ขนาด 1 Kbyte มาเป็นรายแรก บริษัทบิสซิคอมพ์(Busicomp) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องคิดเลขของญี่ปุ่นได้ทําการว่าจ้างให้ Intel ทํา การผลิตชิปไอซีที่บิสซิคอมพ์เป็นคนออกแบบเองที่มีจํานวน 12 ตัว โครงการนี้ถูกมอบหมายให้ นาย M.E. Hoff, Jr. ซึ่งเข้าตัดสินใจที่จะใช้วิธีการออกแบบชิปแบบใหม่โดยสร้างชิปที่ให้ถูก โปรแกรมได้หมายถึงว่าสามารถนําเอาชุดคําสั่งของการคํานวณไปเก็บไว้ในหน่วยความจําก่อน แล้วให้ไอซีตัวนี้อ่านเข้ามาแปล ความหมาย และทํางานภายหลัง ในปี 1971 Intel ได้นําผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด โดยใช้ชื่อทางการค้าว่า Intel 4004 ในราคา 200 เหรียญสหรัฐ และเรียกชิปนี้ว่าเป็น ไมโครโปรเซสเซอร์(Micro Processor) ก็เพราะว่า 4004 นี้ เป็น CPU (Central Processing Unit) ตัวหนึ่ง ซึ่งมีขนาด 4.2 X 3.2 มิลลิเมตร ภายใน ประกอบด้วย ทรานซิสเตอร์ จํานวน 2250 ตัว และเป็นไมโครโปรเซสเซอร์ขนาด 4 บิต หลังจาก 1 ปีต่อมา Intel ได้ออก ไมโครโปรเซสเซอร์ขนาด 8 บิตออกมาโดยใช้ชื่อว่า 8008 มี ชุดคําสั่ง 48 คําสั่ง และอ้างหน่วยความจําได้ 16 Kbyte ซึ่งทาง Intel หวังว่าจะเป็นตัวกระตุ้น ตลาดทางด้านชิปหน่วยความจําได้อีกทางหนึ่ง เมื่อปี 1973 ทาง Intel ได้ออก ไมโครโปรเซสเซอร์ 8080 ที่มีชุดคําสั่งพื้นฐาน 74 คําสั่งและ สามารถอ้างหน่วยความจําได้ 64 Kbyte
ไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่องแรกของโลก
เมื่อปี 1975 มีนิตยสารต่างประเทศฉบับหนึ่ง ชื่อว่า Popular Electronics ฉบับเดือน มกราคม ได้ ลงบทความ เกี่ยวกับเครื่อง ไมโครโปรเซสเซอร์เครื่องแรกของโลกที่มีชื่อว่า อัลแตร์8800 (Altair) ซึ่งทําออกมาเป็นชุดคิทโดยบริษัท MITS (Micro Insumentation And Telemetry Systems) ลักษณะของชุดคิท ก็คือจะอยู่ในรูปของอุปกรณ์แต่ละชิ้นโดยให้ คุณนําไปประกอบ ขึ้นใช้เอง บริษัท MITS ถูกก่อตั้งเมื่อปี 1969 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทําตลาดในด้านเครื่องคิดเลขแต่การค้า ชลอตัวลง ประธานบริษัท ชื่อ H. Edword Roberts เห็นการไกลคิดเปิดตลาดใหม่ซึ่งจะขายชุดคิด คอมพิวเตอร์ ประมาณเอาไว้ว่าอาจขายได้ในจํานวนปีล่ะประมาณ 200-300 ชุดจึงให้ทิมงาน ออกแบบบและพัฒนาแล้วเสร็จก่อนถึงคริสต์มาส ในปี 1974 แต่เพิ่งมาประกาศตัวในปีถัดไป สําหรับ CPU ที่ใช้คือ 8080 และคําว่า ไมโครคอมพิวเตอร์จึงถูกเรียกใช้เป็นครั้งแรกเพื่อชุดคิท คอมพิวเตอร์ชุดนี้ ชุดคิทของ อัลแตร์นี้ประกอบด้วย
ไมโครโปรเซสเซอร์ 8080 ของบริษัท Intel มี เพาเวอร์ซัพ พลายมีแผงหน้าปัดที่ติดหลอดไฟ เป็นแถวมาให้เพือแสดงผล รวมถึงหน่วยความจํา 256 Byte (่ แหม.. เหมือนของเล่นเราในสมัยนี้ จังงง ) นอกนั้น ยังมี สล๊อต (Slot) ให้เสียบอุปกร์อื่น ๆ เพิ่ม ได้ แต่ก็ทําให้ MITS ต้องผิดคาด คือ ภายใน เดือนเดียวมีจดหมายส่งเข้ามาขอสั่งซื้อเป็นจํานวน ถึง 4,000 ชุดเลยทีเดียว ด้วยชิป8080 นี่เองได้เป็นแรงดลใจให้บริษัท ดิจิตอลรีเสิร์ช (Digital Research) กําเนิด ระบบปฏิบัติการ(Operating System) ที่ชื่อว่า ซีพีเอ็ม(CP/M หรือ Control Program For Microcomputer) ขึ้นมา ในขณะที่ Microsoft ยังเพิ่งออก Microsoft Basic รุ่นแรกเท่านั้นเอง
ถึงยุค Z80
เมื่อเดือน พฤศจิกายนปี 1974 ได้มี วิศวกรของ Intel บางคนได้ออกมาตั้งบริษัทผลิตชิปเอง โดย มีชื่อว่า ไซล๊อก (Zilog)
เนื่องจาก วิศวกรเหล่านี้ ได้มีส่วนร่ามในการผลิตชิป8080 ด้วยจึงได้ นําเอาเทคโนโลยีการผลิดนี้มาสร้างตัวใหม่ที่ดีกว่า มีชื่อว่า Z80 ยังคงเป็น ชิปขนาด 8 บิต เมื่อได้ ออกสู่ตลาดได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเนื่องจากได้ปรับปรุงข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่มีอยู่ใน 8080 จึงทําให้เครื่องคอมพิวเตอร์หลายต่อหลายยี่ห้อ หันมาใช้ชิปZ80 กัน แม้แต่ซพีเอ็ม ก็ยังถูกี ปรับปรุงให้มาใช้กับ Z80 นี้ด้วย *** แม้ในปัจุบันนี้ Z80 ยังคงถูกใช้งาน และนําไปใช้ ในการ เรียนการสอนไมโครโปรเซสเซอร์ ด้วย เช่น ชุดคิดหรือ Single Board Microcomputer ของ ETT, Silaเป็นต้น และ IC ตัวนี้ยังผลิตขาย อยู่ในปัจจุบัน ในราคา ไม่เกิน 100 บาทน่ะจะบอก ให้)
Computer เครื่องแรกของ IBM
ในปี 1975 ไอบีเอ็มได้ออกเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่องแรกออกมาแต่ทางไอบีเอ็มได้เรียก เครื่องนี้ว่าเป็น เทอร์มินัลแบบชาญฉลาด ที่สามารถโปรแกรมได้ (Intelligent Programmable Terminal) และตั้งชื่อรุ่นว่า Model 5100 มีหน่วยความจํา 16 Kbyte แล้วยังมีตัวแปลภาษาเบสิก แบบอินเตอร์พรีทเตอร์ (Interpreter) ด้วย และมีไดรฟ์สําหรับใส่คาร์ทิดจ์เทปในตัว แต่ก็ยังขาย ไม่ดีเอามาก ๆ เลยเพราะว่าตั้งราคาไว้สูงมากถึง 9,000 เหรียญสหัฐ ในปลายปี 1980 บริษัทไอบีเอ็มได้เกิดแผนกเล็ก ๆ ขึ้นมาแผนกหนึ่งเรียกว่า Entry Systems Division ภายใต้ทีมของคนชื่อว่า ดอน เอสทริดจ์ (Don Estridge) และนักออกแบบอีก 12 คนโดย ได้รับมอบหมายให้พัฒนาเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของไอบีเอ็มโมเด็ล5100 นั้นเอง โดยนําเอาจุดเด่นของเครื่องที่ขายดีมารวมไว้ในการออกแบบเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ของ ไอบีเอ็มและผลิตจําหน่ายได้ภายในปีเดียวภายใต้ชื่อว่า ไอบีเอ็มพีซี (IBM PC) ซึ่งถูกเปิดตัวใน เดือน สิหาคม ปี 1981 และยอดขายของเครื่องพีซีก็ได้พุ่งอย่างรวดเร็ว ทําให้บริษัทอื่น ๆ จับตา มอง
กาเนิด แอปเปิ้ล
ในปี 1976 หลังจาก Stephen Wozniak และ Steve Jobs ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์ (Apple Computer) และได้นําเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่ประดิษฐ์จาก โรงรถออกมาขายโดยใช้ชื่อว่า Apple I ในราคา 695 เหรียญบริษัทแอปเปิลได้ผลิตเครื่อง Apple I ออกมาไม่มากนัก ภายในปีเดียวได้ผลิต Apple II ออกมา และรุ่นนี้เป็นรุ่นเปิดศักราชแห่งวงการไมโครคอมพิวเตอร์และเป็นการสร้างมาตรฐาน ที่ ไมโครคอมพิวเตอร์ ที่เกิดมาตามหลังทั้งหมด

ความหมายของคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์คืออุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ (electrinic device)ที่มนุษย์ใช้เป็น เครื่องมือช่วยในการจัดการกับข้อมูลที่อาจเป็นได้ทั้งตัวเลข ตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ที่ใช้แทน ความหมายในสิ่งต่าง ๆโดยคุณสมบัติที่สําคัญของคอมพิวเตอร์คือการที่สามารถกําหนดชุดคําสั่ง ล่วงหน้าหรือโปรแกรมได้ (programmable) นั่นคือคอมพิวเตอร์สามารถทํางานได้หลากหลาย รูปแบบขึ้นอยู่กับชุดคําสั่งที่เลือกมาใช้งานทําให้สามารถนําคอมพิวเตอร์ไปประยุกต์ใช้งานได้ อย่างกว้างขวาง เช่นใช้ในการตรวจคลื่นความถี่ของหัวใจ การฝาก - ถอนเงินในธนาคารการ ตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์ เป็นต้น ข้อดีของคอมพิวเตอร์ คือเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทํางาน ได้อย่างมีประสิทธภาพ มีความถูกต้องและมีความรวดเร็วอย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นงานชนิดใดก็ ตามเครื่องคอมพิวเตอร์จะมีวงจรการทํางานพื้นฐาน 4 อย่าง (IPOS cycle) คือ 1. รับข้อมูล (Input)เครื่องคอมพิวเตอร์จะทําการรับข้อมูลจากหน่วยรับข้อมูล (input unit) เช่น คีบอร์ดหรือ เมาส์ 2. ประมวลผล (Processing)เครื่องคอมพิวเตอร์จะทําการประมวลผลกับ ข้อมูลเพื่อแปลงให้อยู่ในรูปอื่นตามที่ต้องการ 3. แสดงผล (Output)เครื่องคอมพิวเตอร์จะให้ผลลัพธ์จากการประมวลผล ออกมายังหน่วยแสดงผลลัพธ์ (output unit) เช่น เครื่องพิมพ์ หรือจอภาพ 4. เก็บข้อมูล (Storage)เครื่องคอมพิวเตอร์จะทําการเก็บผลลัพธ์จากการ ประมวลผลไว้ในหน่วยเก็บข้อมูลเพื่อให้สามารถนํามาใช้ใหม่ได้ในอนาคต

ความสําคัญของคอมพิวเตอร์

ความสาคัญของคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ได้ถูกพัฒนาให้มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ขนาดเล็กลง ราคาถูกลงแต่ ประสิทธิภาพหรือความสามารถในการทางานสูงขึ้น ทาให้หน่วยงาน องค์กร ตลอดจนบุคลได้นา คอมพิวเตอร์มาใช้งานกันอย่างกว้างขวาง เช่น การพิมพ์เอกสารต่าง ๆ การออกแบบงานด้านศิลปะ การ สร้างภาพกราฟิก การเล่นเกม การดูหนังฟังเพลง การสร้างเว็บส่วนตัว การนาคอมพิวเตอร์มาใช้งานใน ลักษณะเครือข่าย เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ต การติดต่อสื่อสาร การเลือกซื้อสินค้า การสืบค้นข้อมูล ด้าน การศึกษา เป็นต้น